บทความนี้ได้รับการโพสท์โดย Yunies ซึ่งผมอ่านดูแล้วน่าสนใจ จึงนำมาให้ผู้ที่โทษแอนตี้ไวรัสนู้น นี้มาให้อ่านกัน
อ้างถึง
ผมใช้ AVG คับ เคยใช้ Nod32 แล้ว มันสแกนไม่เจอ Brontok กับ Flashy อะ ก็เลยเปลี่ยนมาใช้ AVG
- นี่ก็เป็นข้อมูลเมื่อไหร่ไม่ทราบค่ะ ซึ่งปัจจุบัน Nod32 อาจจะกำจัดไวรัส
- ชนิดนี้ได้แล้ว แต่เราๆท่านๆ ก็จะไม่กลับไปใช้ Nod32 อีก ต้องรอจนกว่า
- โปรแกรม AVG จะกันไวรัสไม่อยู่ ปล่อยไวรัสหลุดเข้าคอมพ์ แล้วเราก็จะว่า
- AVG ไม่ดี พร้อมกับบอกต่อๆกันไปยัง เพื่อนฝูง ทุกคนให้เลิกใช้ AVG
- จากนั้นก็หา AntiVirus ตัวใหม่มาใช้ ที่สามารถ กำจัดไวรัสที่ติดอยู่ตอนนี้
- ออกไปจากเครื่องได้ ซึ่งอาจจะเป็น Kaspersky ทันใดนั้น เราก็แนะนำให้
- เพื่อนๆใช้ Kaspersky ตามเรา จนกระทั่ง Kaspersky ปล่อยไวรัสหลุดเข้า
- คอมพ์เรา เราก็จะบอกต่อเพื่อนๆว่า Kaspersky ไม่ดี เลิกใช้ซะดีกว่า ........
- เข้าใจวงเวียนแห่งความโชคร้าย ของโปรแกรมที่เกิดมาเป็นรักษาความปลอดภัย
- หรือเปล่าคะ มันจะเป็นแบบนี้เรื่อยไปค่ะ จากตัวอย่าง เนื่องจากโปรแกรม
- ที่คุณ 'Reloaded' กล่าวถึง ดันเป็น Nod32 และ AVG พอดีนะคะ
- เราเลยเอามาใช้เป็น กรณีศึกษา ไปซะเลย จริงๆแล้ว คู่กรณีจะเป็นโปรแกรมอะไร
- ก็จะเข้าสู่วงจรนี้หมดทุกรายค่ะ แล้วอะไรมันผิดพลาด? ทำไมต้องเข้าวงจรนี้?
สาเหตุของการมีวงจรแห่งความโชคร้าย
ของโปรแกรมรักษาความปลอดภัยทุกชนิด
- สาเหตุนั้น มันไม่ได้มาจากตัวโปรแกรมรักษาความปลอดภัยหรอกค่ะ
- ทุกบริษัท ทุกค่าย ต่างก็พยายามพัฒนาโปรแกรมของตน
- ให้สามารถกำจัดไวรัส และ ไฟล์อันตรายอื่นๆ ให้รวดเร็ว ครอบคลุม
- เพื่อไม่ให้ ผู้ใช้โปรแกรม AntiVirus ต้องตกเป็นเหยื่อของไวรัสเหล่านั้น
- ทีนี้ความผิดก็ตกไปอยู่ที่ "ผู้เลือกใช้" โปรแกรมรักษาความปลอดภัย นั้นเอง
- แล้วไวรัสมันติดได้ไง สาเหตุของเรื่องนี้ มีมากมายเลยละค่ะ มาค่อยๆไล่อ่านดู
1. โปรแกรมนั้นคือ AntiVirus เลยป้องกันได้แต่ Virus ไม่สามารถกัน Spyware ได้
- เหตุการณ์ทำนองนี้ยังมีอีกมากมายค่ะ เช่น ป้องกันได้แค่ Virus กับ Spyware
- แต่ผู้ใช้งานดันไปตกเป็นเหยื่อของ Trojan มาซะนี่ จะไปโทษโปรแกรมได้ไง
- ก็ไม่ได้ใช้โปรแกรมรุ่นที่มี AntiTrojan เองนี่คะ
2. โปรแกรมหน่ะดีแล้ว ป้องกันได้ทุกอย่าง แต่ดันใช้โปรแกรมไม่เป็น
- ตัวอย่างในกรณีนี้ก็อย่าง เช่น ESET Smart Security ได้มีการเพิ่ม
- ระดับรักษาความปลอดภัย โดยได้ใส่ระบบ Firewall เพื่อป้องกันผู้บุกรุก
- เข้า/ออก จากเครื่องเรา โดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ทุกครั้งที่มี ไฟล์หรือโปรแกรม
- พยายามเชื่อมต่อไปยัง Server ที่ไหนซักแห่ง เจ้า ESET Smart Security
- ก็จะรีบแจ้งให้เราทราบทันที "มีโปรแกรมกำลังจะเชื่อมต่อ Server ภายนอกอยู่นะ"
- "คุณผู้ใช้จะอณุญาตให้เชื่อมต่อหรือไม่" แล้วท่านผู้ใช้ทั้งหลายก็ตอบ อณุญาต
- ให้เชื่อมต่อซะงั้น ทีนี้แล้วข้อมูลต่างๆในคอมพ์ ก็โดนโขมยออกไปไม่รู้ตัว
- ไวรัสและอื่นๆถูกส่งมาให้ตามเส้นทางที่เชื่อมต่อนั้น แบบสบายใจ ฯลฯ
3. พฤติกรรมการใช้งานคอมพิวเตอร์ แต่ละคน ก็ไม่เหมือนกันซะหน่อย
- อย่างที่บอกไปค่ะ โปรแกรม รักษาความปลอดภัย มีมากมายหลายรุ่น
- บางรุ่นก็กันได้แค่ Virus บางรุ่นก็กันได้แค่ Spyware แล้วจะทำมาทำไม
- ป้องกันได้อยู่อย่างเดียวแบบนี้ เดี๋ยวก็ติด Trojan เข้าให้หรอก
- นั้นก็เพราะว่า ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์แต่ละคน มีพฤติกรรมการใช้งานคอมพ์
- ที่ไม่เหมือนกันค่ะ เราอาจจะไม่ได้ใช้งาน Internet เลย วันๆเอาแต่พิมพ์งาน
- แล้ว Spyware มันจะติดได้ยังไงคะ ดังนั้นเราหาแค่ AntiVirus มาติดตั้งไว้
- ก็พอค่ะ หาพวกโปรแกรมที่ป้องกัน ไวรัสได้เก่งๆ เน้นแค่ด้านไวรัสด้านเดียวก็พอ
- คิดตามนะคะ คนประเภทนี้มีความเสี่ยงแค่ไหนคะ เค้ารับไฟล์ (ข้อมูล) มาจากไหน
- ได้บ้างเอ่ย แผ่น CD, FloppyDisk, FlashDrive ฯลฯ นั้นก็คือพวกสื่อบันทึกข้อมูล
- แบบพกพาเคลื่อนย้ายได้นั้นเอง ความเสี่ยงที่จะติดไวรัสก็มีอยู่แค่นั้นแหละค่ะ
- ส่วนคนที่ใช้งาน Internet ด้วยละคะ อาการหนักเลยละค่ะงานนี้
- เช่น E-Mail, FTP (บริการรับ/ส่งไฟล์จากเครื่องเราไปยัง FTP Server),
- HTTP (บริการ Website) เป็นต้น ความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส ก็ต้องมากขึ้น
- เป็นธรรมดา ดังนั้นเราก็ต้องหาโปรแกรมที่ป้องกันได้หลายๆด้าน ซึ่งมีจุดที่สำคัญ
- ก็คือ เลือกใช้ให้ตรงกับการใช้งานคอมพ์เรานั้นเอง บางคนก็ป้องกันหลายด้าน
- เกินไป ใช้งานจริงๆไม่ได้ครบทุกด้านขนาดนั้น เลยกลายเป็นภาระของเครื่องคอมพ์
- เพราะป้องกันได้หลายด้าน ก็แสดงว่ามีการทำงานหลายส่วนนั้นเองค่ะ
4. เพราะการแนะนำโปรแกรมให้เพื่อนๆใช้ตาม แบบไม่ถูกต้อง
- เมื่อรู้แล้วว่า แต่ละคนเค้าเอาคอมพ์มาใช้งานไม่เหมือนกัน แล้วจะใช้
- โปรแกรมตัวเดียวกันได้ยังไงคะ ดังนั้น การแนะนำโปรแกรมด้าน
- รักษาความป้องภัยแบบที่ถูกต้อง คือ เราต้องถามเพื่อนๆก่อนว่า
- "ใช้ Internet หรือเปล่าครับ ถ้าใช้ ลองเอาโปรแกรมนี้ไปลองดู"
- หรือ "ติดไวรัสหรอครับ พอจะเล่าให้ฟังได้ไหมว่า ติดไวรัสมายังไง"
- พอเรารู้ว่าเค้าติดไวรัสจาก FlashDrive เราก็แค่เอาโปรแกรม
- AntiVirus FlashDrive เช่น AHDV ไปติดตั้งเพิ่มเติมให้เพื่อนคนั้น
- เหล่านี้เป็นต้นค่ะ คำพูดที่ห้ามเด็ดขาดเลยก็คือ "โปรแกรมนี้ดีที่สุด"
- เพราะเป็นการพูดไม่ครบ ต้องบอกด้วยว่า "ดีที่สุดสำหรับเรา" ค่ะ
5. จริงๆสาเหตุการติดไวรัส และวิธีการแก้ไขยังมีอีกมากนะคะ
- แต่เราว่าเอาไว้แค่นี้ก่อนดีกว่าค่ะ คิดว่าคงพอเป็นแนวทางในการ
- ใช้งาน และ แนะนำให้ผู้อื่นใช้งาน โปรแกรมด้านรักษาความปลอดภัย
- ได้ดีระดับนึงแล้วค่ะ อย่าลืมระวังตัวเอง ไม่ให้ถูกหลอกลวงไปคลิก
- ถูกไฟล์อันตราย เข้านะคะ อะไรที่น่าสงสัย อย่าไปคลิกเชียวค่ะ
- ไฟล์ที่ส่งมาจากเพื่อนๆ ถามก่อนว่าเพื่อนๆจะส่งมาทำไม เอาอะไร
- มาให้เราหรือ เกิดไปรับมาโดนไม่ได้ถาม อาจจะรับไฟล์จากไวรัสนะคะ
- เพื่อนคนนั้นยังไม่รู้ตัวเลยว่า ไวรัสแอบใช้เมลตัวเอง ส่งไฟล์ไปให้เพื่อตัวเอง
- รักษาสุขภาพกันด้วยค่ะ Yunies เหนื่อยแล้ว ไปและค่ะ
เพิ่มเติมให้อีกนิด ^.^
- ดังนั้น การใช้งาน AntiVirus เราควรสังเกตอยู่เสมอว่า
- "โปรแกรมไหน ใช้งานได้ดีกับผู้ใช้แบบไหน" เพื่อเอาไว้
- แนะนำให้ผู้ใช้แบบนั้น ได้ไงละคะ ฟังดู งง ปะคะ ยกตัวอย่างละกัน
- เช่น ตั้งแต่ใช้ Nod32 มา ไม่เคยติดไวรัสเลย จนกระทั่งไปดาวน์โหลด
- โปรแกรมโกงเกมต่างๆมาใช้งาน ดังนั้น เวลาแนะนำให้เพื่อนๆใช้
- ก็หาคนที่ใช้งานคอมพ์แบบธรรมดา ไม่เคยโหลดโปรแกรมโกงเกม
- แค่นี้ Nod32 ก็เอาอยู่แล้วละค่ะ อะไรแบบนี้อะ อีกทั้ง การสังเกต
- พฤติกรรมตัวเองว่า "ไวรัสติดมาตอนไหน ติดได้ไง" ก็ยังเป็นความรู้
- เอาไว้ระวังตัว ไม่ทำผิดอีกเป็นครั้งที่สอง แค่นี้ไวรัสก็ไม่ติดแล้วละค่ะ
ขอขอบคุณ : Yunies
คัดลอกมาจากคุณ the dlkl1™