ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง (ที่เรียกว่า "อะไร" เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นนิทาน หรือคำสบถ)
ก่อนหน้าปี 2547 ร้านอินเตอร์เน็ตและเกม เปิดให้บริการกันอย่างอิสระ และไม่มีกฏหมายใดเข้ามาควบคุม ใครอยากเปิดก็ง่ายดาย เพียงแค่ใบทะเบียนการค้า 1 ใบ (ตลอดชีพ 50 บาท) ก็เปิดได้แล้ว มีตังแยะ ก็ลงเครื่องแยะ มีน้อยก็ลงน้อย สนุกสนานกันไป ทั้งเกมถูกกฏหมาย และผิดกฏหมาย เปิดให้บริการกันอย่างอ้าซ่า รับทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ พระ เณร เถร ชี มั่วกันไปหมด ปัญหามีบ้าง ไม่มีบ้าง ถูกจับเรื่องลิขสิทธิ์บ้าง นิดๆ หน่อยๆ ไม่แพร่หลาย ราคาค่าบริการก็ดี คนเปิดสมัยก่อนๆ คงเข้าใจว่ามันหวานหอมแค่ไหน
พอหลังจากปี 2548 เป็นต้นมา เริ่มมีการหาช่องทางเข้ามาควบคุมกิจการประเภทนี้ โดยเริ่มจาก นโยบายจัดการกิจการที่ "หากินกับเด็ก" คำนี้หลุดออกจากปาก ผู้นำระดับชาติ คนหนึ่ง จนเป็นที่มาของ การนำ ฮาร์ดดิส เข้าไปยัดไว้ใน พรบ.เทปฯ ซึ่งก็โดยเอาระเบียบ Good Net มาคลุมอีกที พอเริ่มมีระเบียบเข้ามาควบคุม หากมองมุมสังคม มันก็ดีอยู่หรอกน่ะ แต่หากมองในมุม "ส่วย" อันนี้หวานหมูเลย เพราะมันก็เป็นช่องให้หากินกันจนถึงทุกวันนี้ เหมือน กฏหมายหมวกกันน๊อค คือ ข้าจะจับ ใครจะทำไม
หลายๆ พื้นที่ปัญหาเรื่องส่วย ความรุนแรง แตกต่างกันออกไป แล้วแต่หัวแถวของแต่ละที่ว่ามีความ พอเพียง หรือไม่ หากอยู่อย่าง พอเพียง ก็เข้มน้อยหน่วย หากอยู่กันอย่างหรูหรา ใช้เงินเหมือนน้ำ พื้นที่นั่นก็เข้มหน่อย เหมือนเทเหล้าไม่ผสมโซดา
ทีนี้เรามาดูกันให้ลึกลงไปอีกว่า หากจ่ายส่วย แล้วใครได้ ใครเสีย
เริ่มที่คนได้ก่อน
คนได้คนที่ 1 = คนเก็บ (ใครเก็บล่ะ อันนี้ไม่ต้องบอก) แสดงถึงการมีบารมีคุ้มครองท่านได้
คนได้คนที่ 2 = คนจ่ายส่วย มีรายได้แยะ เป็นกอบเป็นกำ จากการอำนวยความสะดวกของคนเก็บส่วย ในการ 1. แจ้งเบาะแสการตรวจเข้ม 2. แจ้งให้กระทำการบางอย่างเมื่อถูกร้องเรียน 3. ละเว้นการตรวจ (บางครั้งก็ไม่ตรวจเลย) แสดงถึงความเก๋าเกมในพื้นที่
คนได้คนที่ 3 = ลูกค้า (ได้ความมันส์)
ตามด้วยคนเสีย
คนเสียคนที่ 1 = คนจ่ายส่วย ทั้งรายเดือน และบางพื้นที่อาจจะมีรายปีพ่วงด้วย เช่น งานวันเกิด งานบวช งานบุญต่างๆ งานตัดสายสะดือบุตร เป็นต้น
คนเสียคนที่ 2 = ลูกค้า ในกลุ่มของเด็กและเยาวชน ที่ควรจะศึกษาเล่าเรียน และพักผ่อนอย่างเต็มที่ ควรมีการทำกิจกรรมสันทนาการ ออกกำลังกาย เพราะลูกค้าประเภทนี้มักแยกแยะเวลาไม่ออกว่าควรเล่นกี่ชั่วโมง
คนเสียคนที่ 3 = สังคม โดยเฉพาะผู้ปกครอง ครูอาจารย์ และ กลุ่มนักจิตวิทยาเด็ก ก็จะมารุมตำหนิ (ด่า) ร้านเกมทั้งหมด ไม่เว้นว่าร้านไหนจ่ายส่วย ไม่จ่ายส่วย เพราะเขาไม่รู้ว่าร้านไหนจ่ายบ้าง
สรุป ร้านดีๆ อยู่ไม่ได้ เพราะ คนเก็บส่วย ไปไล่บี้ให้จ่าย หากร้านเกมยอมจ่าย พอมีกระแสมาเรื่องเด็ก ก็จะมากระซิบว่า ช่วงนี้กระแสแรง หยุดรับเด็กก่อนน่ะ หรือไม่ก็ช่วงนี้ปิดร้านไปก่อน ไม่งั้นผมจับน่ะ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแทบทุกจังหวัดของเมื่องไทย สุดท้ายปัญหาต่างๆ ร้านเนทและเกมก็ต้องแบกรับมันไว้ เพราะกิจการนี้นั้นอยู่ใกล้กันมากกับเด็กๆ การแก้ไขปัญหาจากภาครัฐเองก็ยังแก้ไม่ตรงจุด อีกทั้งในสังคมร้านแนทและเกมมีทั้งทำถูกกฏหมาย และผิดกฏหมาย ปะปนกันอยู่
ฝั่งของคนทำถูกกฏหมาย ก็ยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ่าย "ส่วย" เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด หรือ รายได้ไม่มากถึงขนาดเหลือเอามาแบ่ง (คนเก็บส่วย) ใครกิน แต่คนในฝั่งนี้จะถูกแกล้ง หรือตรวจเข้ม และเป็นที่จับตามองเสมอๆ ทุกท้องที่ในเมืองไทยนี้
ฝั่งของคนทำผิดกฏหมาย ก็ยกหาง ยกยอ กันไปว่า "จ่ายส่วย" ดี ไม่ต้องกังวล ซื้อความสะดวก แต่คนพวกนี้เวลากระแสสังคมกระหน่ำเข้ามาเรื่องเด็กและเยาวชน แหล่งมั่วสุม ก็เห็นหน้ามึนกันทุกราย ทำ "นิ่ม" ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน
ร่ายมาซ่ะยาว ท้ายสุด ตัวปัญหา ก็คือ จุดเริ่มต้นของปัญหานั่นเอง คือ คนเสนอ และ คนสนอง ส่วนการแก้ปัญหาเท่าที่ผมคิดได้ตอนนี้ คงต้องจัดการกับ คนสนอง ก่อนเลย เพราะคนสนองเนี้ยแหล่ะ ชอบหาช่องไปอาละวาดกับคนดีๆ อยู่เสมอ ผมขอทิ้งคำถามไว้ตรงนี้เลยว่า หากโดนเรียกให้จ่ายส่วยทุกพื้นที่ ทุกร้าน ทุกจังหวัด ร้านละ 500-1000.- บาท/เดือน ร้านเนทและเกมจ่ายได้มั้ย ผมตอบได้เลยว่า ได้ สบายมาก แต่จะตอบโจทย์สังคมอย่างไร เรื่องความมีระเบียบของกิจการนี้ ตลอดจนเรื่องเด็กและเยาวชน เพราะที่ต้องการจ่ายกันเนี้ย มันจ่ายเพื่อทำผิดกฏหมาย.......จบ